![]() |
ข้อมูลท่องเที่ยวสุรินทร์ผมเองเริ่มสนใจจังหวัดสุรินทร์ตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนช่างฝีมือทหาร สมัยนั้นเพื่อนในตอนนอน(ล๊อคที่นอนมี 8 คน)ของผม เป็นคนสุรินทร์หนึ่งคน ผมพยายามที่จะไปเที่ยวหลายครั้งแต่ไม่ได้ไปสักที (ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมเริ่มเดินทางเที่ยวทั่วไทยครับ) เจ้าเพื่อนผมคนนี้ก็พูดภาษาเขมรเสียด้วย ทำให้ผมรู้ว่าจังหวัดนี้มีวัฒนธรรมส่วนหนึ่งแบบเขมร ยิ่งอยากไปใหญ่ เพราะช่างน่าเรียนรู้น่าไปเที่ยวมาก กว่าจะได้มาสุรินทร์ก็วันนี้เองครับ เป็นการเดินทางมาเที่ยวจังหวัดสุรินทร์ครั้งแรกของผมผมขับรถมาจากบุรีรัมย์หลังจากเที่ยวปราสาทหินพนมรุ้งเสร็จ เข้าพักที่โรงแรมทองธารินทร์ โรงแรมใหญ่ของจังหวัดนี้มี WIFI ด้วย พนักงานต้อนรับต่างคุยกันเป็นภาษาถิ่นภาษาเขมร ช่างได้บรรยากาศการท่องเที่ยวจริงๆ สำหรับโรงแรมที่ต่างจังหวัดรวมทั้งสุรินทร์ด้วย ส่วนใหญ่จะตั้งชื่อโรงแรมลงท้ายด้วยคำว่ารีสอร์ท และตั้งอยู่ในตัวเมือง จริงๆก็คือที่พักโรงแรมนี่เอง มีอาหารเช้ามี wifi ให้ แต่หากเป็นรีสอร์ทบางแห่งเช่นในกรุงเทพฯ รีสอร์ทอาจเป็นพวกโรงแรมที่พักชั่วคราวรายชั่วโมงได้คนที่อยู่ที่สุรินทร์มีหลายเชื้อชาติทั้งไทย อีสาน เขมร ส่วย ชาวส่วยคือหมู่บ้านที่เลี้ยงช้าง และเป็นที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของคนสุรินทร์เขา เสียดายมากที่ผมขับรถหลงนานไปหน่อย ออกไปดูการแสดงช้างของหมู่บ้านช้างไม่ทัน จึงไม่มีคลิปของการแสดงช้างหมู่บ้านช้างมาฝากกันครับสุรินทร์ก็มีผู้คนที่น่ารัก ผมไปเดินตลาดเช้า เดินถนนคนเดิน ไปกินปลาเผาแม่พิมพ์ ผมประทับใจตลาดเช้าของชาวสุรินทร์มาก ได้ยินแม่ค้าคุยกันเป็นภาษาเขมร และที่นี่มีปลาธรรมชาติ ปลานาเยอะ เสมือนหนึ่งผมกำลังเดินตลาดเขมรเลยครับ อ้อยังไม่เคยไปเขมรแบบเต็มๆ ต้องไปเร็วๆนี้แน่นอนMr.Hotsia ตุลาคม 2554ข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บจังหวัดสุรินทร์จังหวัดสุรินทร์ได้รับการสันนิษฐานจากนักประวัติศาสตร์ว่า พื้นที่อันเป็นที่ตั้งเมืองสุรินทร์มีชุมชนอาศัยอยู่เมื่อประมาณ 2,000 ปีล่วงมาแล้ว พบหลักฐานการอยู่ของมนุษย์ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ยุคโลหะตอนปลาย ซึ่งมีการใช้เครื่องมือเหล็กแล้ว ซึ่งยังปรากฏให้เห็นชุมชนโบราณกว่า 59 แห่ง จากสภาพภูมิศาสตร์ที่มีอาณาเขตต่อเนื่องกับพื้นที่ที่เคยเป็นอาณาจักรขอมโบราณ ทำให้ชุมชนในจังหวัดสุรินทร์ได้รับวัฒนธรรมขอมมาโดยตลอดตั้งแต่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 เป็นต้นมา เมื่อขอมเสื่อมอำนาจลง ไม่ปรากฏหลักฐานเด่นชัดที่แสดงถึงการอยู่อาศัยของชุมชนในสมัยต่อมาจนกระทั่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย พ.ศ. 2260 จึงปรากฏร่องรอยขึ้นอีกครั้งหนึ่งในพงศาวดารอีสาน ชาวพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า ส่วยหรือกูย ซึ่งอาศัยอยู่แถบเมืองอัตปือแสนแป แคว้นจำปาศักดิ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นดินแดนของไทย และเป็นผู้ที่มีความสามารถในการจับช้างป่ามาเลี้ยงไว้ใช้งาน พากันอพยพข้ามลำน้ำโขงมาสู่ฝั่งขวา โดยได้แยกย้ายกันไปตั้งชุมชนที่เมืองลีง (อ.จอมพระ) บ้านโคกลำดวน (อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ) บ้านอัจจะปะนึ่ง (อ.สังขะ) และบ้านกุดปะไท (อ.ศีขรภูมิ) ในปี พ.ศ. 2303 หัวหน้าชาวกูยที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ได้ช่วยขุนนาง จากราชสำนักคล้องช้างเผือกแตกโรง มาจากกรุงศรีอยุธยากลับไปได้ ต่อมาได้ส่งส่วยของป่าและรับราชการกับราชสำนัก จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์และยกบ้านที่ปกครองขึ้นเป็นเมืองต่อมาในปี พ.ศ. 2306 หลวงสุรินทร์ภักดีหรือเชียงปุม หัวหน้าหมู่บ้านเมืองที ได้ขอให้เจ้าเมือง พิมายกราบบังคมทูลขอพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จากพระเจ้าอยู่หัว พระที่นั่งสุริยามรินทร์ย้ายหมู่บ้านจากบ้านเมืองที มาตั้งอยู่ที่บริเวณบ้านคูประทาย ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองสุรินทร์ในปัจจุบันเนื่องจากเห็นว่าเป็นบริเวณที่มีชัยภูมิเหมาะสม มีกำแพงค่ายคูล้อมรอบ 2 ชั้น มีน้ำอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การประกอบอาชีพและอยู่อาศัยต่อมาหลวงสุรินทร์ภักดีได้กระทำความดีความชอบเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ยกบ้านคูประทายเป็นเมืองประทายสมันต์และเลื่อนบรรดาศักดิ์หลวงสุรินทร์ภักดีเป็นพระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวางให้เป็นเจ้าเมืองปกครอง ในปี พ.ศ. 2329 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองประทายสมันต์เป็นเมืองสุรินทร์ ตามสร้อยบรรดาศักดิ์เจ้าเมือง เมืองสุรินทร์มีเจ้าเมืองปกครองสืบเชื้อสายกันมารวม 11 คน จนถึงปี พ.ศ.2451 ได้มีการปรับปรุงระบบบริหารราชการแผ่นดิน เป็นแบบเทศาภิบาลส่วนกลางจึงได้แต่งตั้งพระกรุงศรีบุรีรักษ์ (สุม สุมานนท์) มาดำรงตำแหน่งเป็นข้าหลวงประจำจังหวัดหรือผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นคนแรก
| ภาพนี้ถ่ายที่ 14 38 0.101 N, 103 13 48.126 E พิกัดตำแหน่ง GPS(POI) |

![]() |
![]() |
เพิ่มเติ่มได้ที่ http://www.hotsia.com/surin/travel/index.shtml



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น